SNatur

บริษัท SNatur หลอกลวงหรือไม่ เจาะลึกแผนการตลาด จุดเด่น และสินค้าของบริษัท เอสเนเจอร์ ที่นี่

เกริ่นนำ

เมื่อเราตัดสินใจเริ่มต้นทำธุรกิจเครือข่าย เราต้องเลือกผู้ผลิตสินค้า ที่จะมาเป็น Partner ของเรา

ที่จะช่วยให้เราสร้างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น

ปัจจัยสำคัญ ในการเลือก Partner เบื้องต้นมี 3 ข้อ คือ

  1. ข้อมูลตัวบริษัท: บริษัทก่อตั้งขึ้น อย่างถูกกฎหมาย มีความมั่นคง เพราะเราคงไม่อยากร่วมงานกับบริษัที่ จะเจ๊งวันนี้ พรุ่งนี้ หรือเป็นแชร์ลูกโซ่
  2. แผนธุรกิจของบริษัท: เพราะธุรกิจของบริษัท เป็นที่มาของรายได้ของธุรกิจเรา เราจึงต้องรู้ว่า บริษัทแบ่งค่าการตลาดให้สมาชิก อย่างไร
  3. ผลิตภัณฑ์ของบริษัท: สินค้าของบริษัทเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ตัดสินความสำเร็จของธุรกิจ ถ้าสินค้าไม่ดี ก็ยากที่บริษัท จะอยู่ได้ในระยะยาว

วันนี้บริษัทที่เราจะ Review คือ SNatur โดยเราจะมาดูปัจจัยสำคัญ 3 ข้อ

และลองดูจุดเด่นอื่นๆของ เอสเนเจอร์ เพื่อที่เราจะได้นำมาใช้ตัดสินใจ เริ่มธุรกิจกับ Partner รายนี้

รู้จักกับบริษัท เอสเนเจอร์

Snatur

  • เอสเนเจอร์ ก่อตั้งโดย บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2551 หรือกว่า 4 ปี
  • ยอดจำหน่ายสินค้า ในปี 2554 ประมาณ 4,300 ล้านบาท (อ้างอิงจากหนังสือ Leader Time ฉบับ 134 เดือนมกราคม 2555)
  • ได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • เข้าร่วมธุรกิจได้ด้วยการสมัครสมาชิกแบบหุ้นส่วนทางธุรกิจ C-Class, E-Class และ S-Class 300 บาท ตลอดชีพ และมีการสมัครสมาชิกแบบผู้บริโภค M-Class ซื้อใช้สินค้าอย่างเดียว 100 บาท ตลอดชีพ
  • เมื่อสมัครเป็นสมาชิก จะสามารถซื้อสินค้าได้ ในราคาสมาชิก โดยมีส่วนลด 20-25%

แผนการตลาดของ SNatur

[leadplayer_vid id=”507458EF16496″]

 

เอสเนเจอร์ ใช้แผนการตลาดแบบ Binary – Matching นั่นคือ เราจะมี Frontline (FL) ติดตัวได้เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น

ขณะที่คนที่เรา sponsor ได้เพิ่ม ต้องต่อให้กับ Downline ของเรา เรียกว่า การ Placement

เรามักจะเรียก ยอดธุรกิจของ FL ฝั่งที่ยอดธุรกิจน้อยว่า “ทีมอ่อน” และฝั่งที่ยอดธุรกิจเยอะว่า “ทีมแข็ง”

เอสเนเจอร์คำนวณโบนัสเป็นรายเดือน มีการสรุปยอดแต่ละเดือน ทุกวันสิ้นเดือน และมีการโบนัสเดือนถัดไป

ยอดธุรกิจของ SNatur คำนวณเป็นแต้ม เรียกว่า PV ซึ่ง 1 PV ประมาณ 3-5 บาท

เงื่อนไขในการรับโบนัสของเอสเนเจอร์ มี 2 ข้อ คือ

  1. สมัครสมาชิกหุ้นส่วนธุรกิจ 300 บาท ตลอดชีพ
  2. เปิดศูนย์ธุรกิจ 500 PV สำหรับสมาชิกแบบ C-Class และ 5,000 PV สำหรับสมาชิกแบบ S-Class
  3. รักษายอดส่วนตัวอย่างน้อย 500 PV ต่อเดือน
โดยรายได้จากแผนการตลาดของเอสเนเจอร์มี 9 ทาง ดังนี้
  • กำไรจากการขายปลีก 20-30%: เราจะได้รับส่วนต่าง 20-30% จากการที่เราซื้อสินค้าในราคาสมาชิก และนำไปขายในราคาปกติ
  • โบนัสเงินคืน 24%: เราจะได้รับเงินคืน (Cash Back) 24% ของยอดส่วนตัวของเรา และสมาชิกแบบ M-Class ที่เกินกว่า 1,000 PV เช่น หากเรามียอดส่วนตัว และสมาชิกแบบ M-Class 6,000 PV เราจะได้รับ “โบนัสเงินคืน 24%” คำนวณจาก 5,000 PV เท่ากับ 1,200 บาท
  • โบนัสเริ่มต้นธุรกิจ 25-30%: เมื่อเราแนะนำสมาชิกใหม่ประเภท C-Class เราจะได้รับ “โบนัสเริ่มต้นธุรกิจ 25-30%” โดยได้รับ 25% จากยอดซื้อของสมาชิก C-Class คนใหม่ แต่ถ้าเราแนะนำสมาชิกใหม่ประเภท S-Class เราจะได้รับ “โบนัสเริ่มต้นธุรกิจ 25-30%” โดยได้รับ 30% จากยอดซื้อของ S-Class คนใหม่
  • โบนัสทีมอ่อน 20%: เราจะได้รับ “โบนัสทีมอ่อน 20%” โดยคำนวณจากยอด “ทีมอ่อน” เช่น ถ้ายอด “ทีมอ่อน” มี 20,000 PV เราก็จะได้รับ 20,000 x 20% = 4,000 บาท โดยสมาชิกประเภท C-Class จะได้รับสูงสุดไม่เกิน 35,000 บาท ต่อเดือน ส่วนสมาชิกประเภท S-Class จะได้รับสูงสุดไม่เกิน 2,400,000 บาท ต่อเดือน
  • โบนัสทีมแข็ง 5%: เราจะได้รับ “โบนัสทีมแข็ง 5%” โดยคำนวณจากยอด Balance ของ “ทีมแข็ง” เช่น ถ้ายอด “ทีมแข็ง” มี 40,000 PV  และยอด “ทีมอ่อน” มี 20,000 PV ซึ่งในกรณีนี้ ยอด Balance คือ ยอดที่เท่ากับยอด “ทีมอ่อน” นั่นคือ 20,000 PV เราก็จะได้รับ 20,000 x 10% = 2,000 บาท โดยสมาชิกประเภท S-Class ที่รักษายอดส่วนตัว 1000 PV ขึ้นไป เท่านั้น ที่จะมีสิทธิได้รับโบนัสข้อนี้ จะได้รับสูงสุดไม่เกิน 600,000 บาท ต่อเดือน
  • โบนัสทีมผู้บริหาร: เมื่อเราสมัครแบบ S-Class และทำการรักษายอดส่วนตัว 1,000 PV ขึ้นไป เราจะได้รับ “โบนัสทีมผู้บริหาร” โดยคำนวณจากยอดธุรกิจของ “ทีมอ่อน” ดังนี้

    ยอด “ทีมอ่อน” (PV)

    โบนัสทีมผู้บริหาร (ต่อเดือน)

    20,000

    2,000

    40,000

    4,000

    80,000

    8,000

    เช่น ถ้าเรามียอด “ทีมอ่อน” 45,000 PV เราก็จะได้ “โบนัสทีมผู้บริหาร” 4,000 บาท

  • โบนัสแมทชิ่ง 3-55%: เมื่อเราสมัครแบบ S-Class เราจะได้รับ “โบนัสบริหารทีม 3-55%” ของ โบนัสทีมอ่อน ของ DL ที่เรา sponsor ด้วยตัวเอง ลึกสูงสุด 8 ชั้น เช่น เมื่อ DL ที่เรา sponsor ด้วยตัวเองได้โบนัสทีมอ่อน 200,000 บาท เราก็จะได้รับ โบนัสแมทชิ่ง สูงสุด 55% นั่นคือ 110,000 บาท
  • โบนัส Leader 2% และ Team Leader 2%: เมื่อเรามียอดธุรกิจ “ทีมอ่อน” ตั้งแต่ 180,000 PV เราจะได้เลื่อนขั้นเป็น Leader โดยเราจะได้รับ “โบนัส Leader 2%” โดยคำนวณจากยอดธุรกิจทั้งหมดของบริษัทในเดือนนั้น และนำมาแบ่งตามสัดส่วนให้กับผู้ที่ได้รับ “โบนัส Leader 2%” และเมื่อเรามียอดธุรกิจ “ทีมอ่อน” ตั้งแต่ 400,000 PV เราจะได้เลื่อนขั้นเป็น Team Leader โดยเราจะได้รับ “โบนัส Team Leader 2%” โดยคำนวณจากยอดธุรกิจทั้งหมดของบริษัทในเดือนนั้น และนำมาแบ่งตามสัดส่วนให้กับผู้ที่ได้รับ “โบนัส Team Leader 2%”
  • เงินได้ครั้งเดียวเมื่อสร้าง Leader ได้ตามที่กำหนด: เมื่อเราช่วยให้ DL ของเราได้รับตำแหน่ง Leader ตั้งแต่ 10-16 คน เราจะได้รับ “เงินได้ครั้งเดียวเมื่อสร้าง Leader ได้ตามที่กำหนด” เป็นเงิน 1,000,000-3,000,000 บาท

สินค้าเด่นของ SNatur

เอสเนเจอร์

เอสเนเจอร์มีสินค้าอยู่ 4 กลุ่ม คือ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เกษตร และอาวุธหนัก

  • อาหารเสริม: S-Gel ยาระบายวิริยมัย กาแฟผสมคอลาเจน และ Zlim Shape
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: เครื่องสำอางค์แบรนด์ Edentee
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดในครัวเรือน: ผงซักฟอก (So Power) และยาสีฟัน (White & Fresh)
  • ผลิตภัณฑ์เกษตร: ปุ๋ยชนิดต่างๆ
  • อาวุธหนัก: เหยือกกรองน้ำ (Aqualife)

จุดเด่นของ เอสเนเจอร์

[leadplayer_vid id=”507459F5C516B”]

 

  • บริษัทมีความมั่นคง เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่แน่นอน
  • สินค้ามีหลายกลุ่ม ครอบคลุมทั้งกลุ่ม สุขภาพ ดูแลผิว และเครื่องใช้ในครัวเรือน
  • มีทางเลือกในการสร้างยอดได้ อย่างรวดเร็ว ด้วยการเน้นขาย เหยือกกรองน้ำ
  • แผนธุรกิจ มีช่องทางสร้างรายได้หลายทาง
  • แก้ปัญหาเรื่องมีคนมากมาย แต่ไม่มียอด เพราะมีการรักษายอดส่วนตัว และสมาชิกแบบ C-Class อย่างน้อย 500 PV ต่อเดือน

เอสเนเจอร์ – สรุป

 

SNatur ผ่านปัจจัยสำคัญทั้ง 3 ข้อ ที่เราใช้ในการเลือก Partner ได้อย่างสบายๆ

ปัจจัยสำคัญ ข้อแรก คือ ตัวบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน มีความมั่นคงสูง ได้รับการรับรองจาก สคบ.

ส่วนปัจจัยสำคัญ ข้อที่ 2 คือ แผนการตลาดมีช่องทางสร้างรายได้หลายทาง แต่ค่อนข้างซับซ้อน

ปัจจัยสำคัญ ข้อสุดท้าย คือ สินค้ายังต้องอาศัยเวลาในการพิสูจน์คุณภาพ เพราะสินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก และบริษัทยังเปิดมาได้ไม่นาน

You cannot copy content of this page